Skip to content
image

เพื่อคนรักษ์โลกต้องทำยังไง ไม่ให้กลยุทธ์แบรนด์กลายเป็น #GREENWASHING

โลกร้อนขึ้นทุกวันในระดับที่เชื่อว่าหลายคนก็คงสัมผัสได้ ทั้งยังมีปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เรื่องนี้จึงกลายเป็นอีกประเด็นที่ผู้บริโภคให้ความสนใจกันมากขึ้น โดยเราจะเห็นได้จากเทรนด์ต่าง ๆ เช่น #Wearวนไป ที่ชวนกันมาใส่เสื้อผ้าซ้ำเพื่อลดการบริโภคแบบ Fast Fashion
หรือจากรายงานพฤติกรรมผู้บริโภคที่เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมของทุกคนเริ่มเปลี่ยนไปใส่ใจเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น
อย่างกระแสของรถยนต์ไฟฟ้าที่ Google Year in Search Thailand 2022 ระบุว่าผู้บริโภคในไทยค้นหาเพิ่มมากขึ้นกว่า 90% ด้วยเช่นกัน

เมื่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ความคาดหวังที่มีต่อแบรนด์ก็มีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากรายงานของ BBDO Asia พบว่าผู้บริโภคในเอเชีย 44% ชื่นชอบแบรนด์ที่ทำสิ่งที่ดีต่อชุมชนและต่อโลกของเรา ในขณะที่อีก 40% ชอบแบรนด์ที่มีจุดยืนและสนับสนุนในประเด็นที่พวกเขาให้ความสนใจ ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ เริ่มออกมาทำแคมเปญ ประกาศเป้าหมายของบริษัท
หรือจัดกิจกรรมอื่น ๆ ที่จะช่วยให้โลกดีขึ้น เพื่อจะครองใจผู้บริโภคสายกรีน

เราเลยจะขอชวนมาดูกันว่าแบรนด์ควรทำอย่างไร เพื่อไม่ให้กลยุทธ์ของแบรนด์เป็นเพียงการฟอกเขียว หรือที่เรียกกันว่า Greenwashing ในสายตากลุ่มผู้บริโภคที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะการจะเข้าถึงพวกเขาได้นั้น ไม่ใช่เพียงการสร้างภาพลักษณ์ให้กลายเป็นธุรกิจสีเขียว แต่ต้องสร้างผลกระทบเชิงบวก และสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อโลกได้ด้วย
แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่สิ่งเล็ก ๆ ก็ตามครับ

#GREENWASHING คืออะไร?
Greenwashing หรือการฟอกเขียว คือวิธีการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูเหมือนว่าใส่ใจสิ่งแวดล้อมในด้านต่าง ๆ แต่เบื้องหลังไม่ได้ทำแบบที่กล่าวอ้างหรือไม่ได้มีการปฏิบัติเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

เราขอยกตัวอย่างพฤติกรรมที่ดูเป็นการฟอกเขียวให้เห็นภาพชัด ๆ กันมากขึ้น เช่น

  • แบรนด์ค้าปลีก A รณรงค์ใช้ถุงผ้าและประกาศงดแจกถุงพลาสติก แต่หากซื้อครบ 150 บาท มีการใส่ถุงพลาสติกให้ฟรี
  • แบรนด์กาแฟ B รับบริจาคแก้วกาแฟใช้แล้วไปรีไซเคิล แต่ไม่มีนโยบายให้ผู้บริโภคนำแก้วหรือกระบอกส่วนตัวไปใส่เครื่องดื่มที่ร้าน
  • แบรนด์ขนม C ติดฉลากว่าเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้สามารถย่อยสลายได้ แต่ไม่มีหลักฐานที่ตรวจสอบได้มารับรองสิ่งที่แบรนด์เคลม

จากตัวอย่างเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าแม้แบรนด์จะมีกิจกรรม มีการรณรงค์ต่าง ๆ ให้ดูเหมือนแบรนด์ใส่ใจโลกมากขึ้น แต่เมื่อมองอย่างรอบด้าน ผู้บริโภคที่สนใจสิ่งแวดล้อมจริง ๆ ก็จะดูออกได้ทันทีว่านี้เป็นเพียงความฉาบฉวยที่แบรนด์สร้างขึ้นมาเพื่ออยากเอาใจ ในขณะที่ผู้บริโภคทั่วไปก็อาจเข้าใจผิดได้จากการที่แบรนด์ใช้คำเพียงว่า “เพื่อสิ่งแวดล้อม”

สุดท้าย เมื่อการตลาดแบบฟอกเขียวถูกเปิดเผยความจริง แบรนด์ก็จะสูญเสียความน่าเชื่อถือลงไปทันที ทำให้อาจไม่มีผู้บริโภคมาสนับสนุนสินค้า และอาจสร้างการบอกต่อในแง่ลบที่เกี่ยวกับแบรนด์ได้

แล้วจะทำอย่างไรถึงจะถูกใจผู้บริโภคสายรักษ์โลก และไม่ให้การตลาดของแบรนด์เป็นเพียงการฟอกเขียว? ลองมาดูคำแนะนำที่เราเอามาฝากกันครับ 

 เริ่มจากเป้าหมายเล็กสู่เป้าหมายใหญ่
การสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมอาจต้องใช้เวลา แต่แบรนด์ของคุณเองก็สามารถทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าเราตั้งใจจริงด้วยการเริ่มจากเป้าหมายเล็ก ๆ ก่อนได้ครับ เพราะการทำแบบนี้จะช่วยให้แบรนด์สามารถประเมินตัวเองได้ว่า ตอนนี้แบรนด์ทำได้มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งยังเป็นการค่อย ๆ ทำให้ผู้บริโภคเชื่อใจจากการที่แบรนด์สามารถทำได้จริงตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ทั้งนี้เป้าหมายนั้น ๆ ควรเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนด้วยนะครับ

ทุกคนในแบรนด์ควรทำให้เหมือนกัน
ที่ต้องพูดถึงการปฎิบัติเป็นทิศทางเดียวกันของแบรนด์ นั่นเป็นเพราะว่าบางครั้งเมื่อแบรนด์ประกาศเป้าหมายหรือแนวทางการปฎิบัติออกไปแล้ว แต่มีคนในองค์กรที่ไม่ได้เคร่งครัดทำตาม หรือไม่เข้าใจในสิ่งที่แบรนด์กำลังจะทำ เช่น แบรนด์ประกาศงดแจกถุงพลาสติก แต่ถ้ามีคนขอ พนักงานหน้าร้านก็แอบให้ ก็อาจทำให้แบรนด์ต้องเผชิญกับ Crisis ได้เหมือนกัน เพราะผู้บริโภคอาจเข้าใจผิดและคิดว่าแบรนด์ไม่จริงใจกันได้แบบง่าย ๆ

การทำให้ทุกคนในแบรนด์ของคุณเข้าใจและปฎิบัติตรงกัน ตั้งแต่ผู้บริหารไปจนพนักงานในทุกระดับ รวมไปทั้งคนที่ทำหน้าที่ดูแลภาพลักษณ์ของแบรนด์ เช่น แอดมินเพจที่ช่วยตอบปัญหาของผู้บริโภค ก็จะช่วยให้ผู้บริโภคเห็นว่าแบรนด์ของคุณไม่ได้คิดจะทำฟอกเขียวแต่อย่างใด แบรนด์นี้ทำจริง และช่วยกันทำทุกคนทั้งบริษัท

ทุกเป้าหมายต้องตรวจสอบได้
ความโปร่งใสถือเป็นหัวใจสำคัญเลยก็ว่าได้ครับ เพราะไม่ว่าแบรนด์จะโชว์ผลลัพธ์เป็นตัวเลขว่าทำได้จริง หรือโชว์ภาพกิจกรรมสวย ๆ แต่หากตรวจสอบไม่ได้ก็อาจทำให้เสียความน่าเชื่อถือลงไปได้มากเหมือนกัน

การที่แบรนด์ของคุณจะทำอะไรจึงควรต้องมีการระบุวิธีที่ชัดเจน มีใบรับรองจากองค์กรที่เชื่อถือได้ หรือมีการรายงานผลการทำงานให้ติดตาม เช่น หากแบรนด์มีเป้าหมายใช้วัสดุรีไซเคิล 100% ภายในปี 2023 ก็ควรระบุความคืบหน้า ที่มาของวัสดุ วิธีการรีไซเคิล หรือแม้แต่รายงานปัญหาก็ได้ครับ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เห็นว่าแบรนด์พร้อมที่จะเปลี่ยน มีการวางแผน และลงมือทำจริงแบบไม่ได้มาเล่น ๆ นะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก:
 /  ////
.
#CreatexHouse #Greenwashing #GreenMarketing 

ชาว Ads Optimizers รู้ยัง? Meta Exclude Target ใช้ไม่ได้แล้วนะ
อัปเดตตำแหน่งโฆษณา LINE Ads 2024
Meta ประกาศลบ Filter / AR Effect จากครีเอเตอร์ทั้งหมดในปีหน้า